เทศน์เช้า

ลึกตื้นของความสงบ

๒๙ ม.ค. ๒๕๔๓

 

ลึกตื้นของความสงบ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความสงบไง เรื่องของความสงบ เราคิดว่าความสงบเป็นความสุขอย่างยิ่ง ความสงบนะ แต่สงบอย่างไร ถ้าเรามองถึงความสงบ ในศาสนาไง นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ ความสงบของใจ ถ้าเราทำความสงบของใจ เริ่มต้นทำความสงบของใจ เห็นไหม เรามาทำความถูกต้อง ใจมันก็จะยอมรับความสงบอันนั้น ทำความถูกต้อง แล้วมันก็ยอมรับกันเองเป็นความสงบภายใน เป็นความสงบภายในเข้าไป ทำความสงบภายในเข้าไปมันก็เหมือนกับเราถางหญ้าถางพง เราถางออกๆ เราถางออกไป นั่นความสงบอย่างหนึ่ง เราคิดว่าเราเป็นการถางออกไป

การทำสมาธิ หรือว่าเวลาเกิดอารมณ์ขึ้นมา อารมณ์รุนแรงขึ้นมาต่อสู้กันน่ะ มันเหมือนกับการเผาป่าไง การเผาป่าโดนไฟเผาราบเป็นหน้ากลองไปเลย แล้วก็โล่งไปหมดเลย แต่ก่อนที่มันจะสงบ ไฟมันเผาป่ารุนแรง อารมณ์เราเกิดขึ้นก็เหมือนกัน มันจะสงบไปโดยธรรมชาติ การวิปัสสนาหรือว่าการใช้ความคิด เราเข้าใจว่าเกิดสงครามไง สงครามมันเกิดขึ้นแล้วมันสงบ พอสงครามเกิดขึ้นแล้วสันติภาพเกิดขึ้น อันนั้นเป็นความสงบ เห็นไหม

เราว่าการทำลายกัน แต่ถ้าตามหลักวิปัสสนามันควรต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องทำลายกันนะ ทำลายทุกอย่างเลย ทำลายภายใน แต่มุมกลับกัน ไอ้นี่มันเป็นวัตถุ แต่ถ้าเป็นใจแล้วมันเหมือนกับการก่อสร้างต่างหาก มันไม่เหมือนการทำลาย เหมือนกับการก่อสร้างขึ้นมา เช่น การทำความสงบ เห็นไหม กำหนดขึ้นมา ทำความดีขึ้นมา เก็บหอมรอมริบไง

อาจารย์มหาบัวบอกว่า หลวงปู่มั่นเก็บหอมรอมริบนะ วินัยแต่ละตัวนี่เก็บไว้ๆ เพื่อพยายามไม่ให้ผิดไม่ให้พลาดเลย เพื่อให้มันมีสมบัติขึ้นมา เห็นไหม การเก็บหอมรอมริบมันเหมือนกับน้ำ น้ำ ความว่าง น้ำเป็นของนิ่ม มันเข้ากับสิ่งใดก็ได้ ยิ่งมีมากเท่าไร มันเป็นอารมณ์ความว่างเข้าไปนี่มันเป็นอารมณ์ของใจ มันไม่ต้องใช้สิ่งภาชนะใส่ไง มันยิ่งว่างเท่าไร ถึงว่าความสงบคือความว่างภายใน เก็บหอมรอมริบขึ้นมาเป็นการประกอบขึ้นมา

อันนี้ก็เหมือนกัน การทำลายมันเป็นงานอย่างหนึ่ง อย่างเช่นว่าการเกิดสงครามขึ้นมา ไฟไหม้ทำลายออกไป แต่ถ้าเป็นวิปัสสนานี่มันเหมือนกับการก่อร่างสร้างตัวต่างหาก เหมือนกับงานการเกิดขึ้น เห็นไหม ในการจะสร้างตึกสร้างร้าน กว่าตึกหลังหนึ่งจะเสร็จ โอ้โฮ! ต้องมีการก่อสร้างมากมายมหาศาลเลย แต่ถ้าสร้างเป็นตึกเป็นร้านขึ้นมาแล้ว มันเป็นวัตถุที่ต้องรักษา แต่ใจนี่ถ้ามันทำลายออกไปๆ การทำลายนี้มันมุมกลับกันไง การทำลายก็เหมือนการก่อร่างสร้างใจขึ้นมา การก่อร่างสร้างใจคือการทำลายทิฏฐิมานะของใจ

นี่ความสงบ สงบอย่างไร? สงบด้วยความเป็นสมาธิ เห็นไหม ไฟไหม้ป่าไป มันแตก มันทำลายป่าไปรุนแรงมากเลย ไฟไหม้ป่า เห็นไหม แต่เราก็มีอยู่ในความว่างอย่างนั้นมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้าการทำงานขึ้นมานี่ สงครามเกิดขึ้น การทำลายเกิดขึ้น ไฟไหม้ป่าส่วนไฟไหม้ป่า มันทำลายวัชชะ ทำลายพวกวัชพืช ทำลายพวกที่ว่าเป็นเสี้ยนหนามที่ตำตีนเรา ไม่ให้เราเดินสะดวกสบาย

แต่ถ้าเกิดสงครามนี่มันทำลายข้าศึกศัตรู การทำลายข้าศึกศัตรูคือการทำลายข้าศึกศัตรูของใจ การทำลายข้าศึกศัตรู เห็นไหม การกิเลสมานะมันอยู่ในหัวใจ นั่นการทำลาย ต้องทำลาย จุดที่ตรงไหนที่มันเป็นสิ่งที่สงวนได้นี่ต้องทำลายทั้งหมด ทำลายเข้าไปเท่าไรมันเหมือนกับการก่อร่างสร้างตัว มันพลิกกลับกันตรงนี้ไง

ถ้าโลก นี่ความเห็นของโลกคือความเห็นของเรา วัตถุสมมุตินี่ มันไม่กล้าทำลายวัตถุ ไม่กล้าทำลายของที่เราสงวนรักษา แต่ถ้าเป็นทางธรรมแล้ว ยิ่งทำลายเท่าไร เพราะว่ายิ่งสงวนรักษานั้นกิเลสมันรักษาไง กิเลสมันสงวนรักษาใจอันนั้นไว้ กิเลสมันสงวนรักษา มันทิฏฐิ มันมานะ มันพยายามสงวนรักษาของมันไว้ เห็นไหม

ทีนี้การทำลายเข้าไป กว่าจะทำลายได้มันต้องอาศัยความสงบของใจ คือว่าไฟไหม้ป่าเข้าไปก่อน ความสงบที่ว่าความสงบนี้เป็นความสุขอย่างยิ่ง สงบแค่ไหนถึงว่าเป็นความสงบแท้ ความสงบเริ่มต้น...ไม่ต้องทำความสงบมันก็จะสงบโดยธรรมชาติของมัน แต่เราไม่รู้จักมันเอง

อันนี้ถึงว่า ศาสนาเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก ชี้สิ่งที่กว้างขวางลึกซึ้ง ตัวที่มองไม่เห็นอยู่ข้างตัวเรานี่แต่เรามองไม่เห็นไง เราไม่สามารถเห็นได้ เห็นไหม นี่ความสงบมันต้องเกิดขึ้นโดยธรรมชาติของมัน คือว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อนิจจัง เห็นไหม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา ต้องทำลายเป็นธรรมดา แม้แต่ความฟุ้งซ่าน แม้แต่ความทุกข์ขนาดไหนมันก็ต้องทำลายเป็นธรรมดา แต่เราไม่เข้าใจตรงนี้

พอเราไม่เข้าใจตรงนี้ปั๊บเราก็พยายามจะไปคุ้ยรื้อค้นมันขึ้นมาไง ถึงว่า อารมณ์ไม่เคยบูดไม่เคยเน่า ความทุกข์ที่เจ็บปวดแสบร้อนในใจมันอุ่นกินได้ตลอดเวลา มันเป็นของใหม่อยู่เสมอ เห็นไหม อาหารการกินนี่มันยังบูดมันยังเน่าอยู่นี่

นี้คือธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ เราก็พยายามจะเดินตามนั้น ขนาดมีตำราชี้แนะ เห็นไหม ให้ทำความสงบเข้าไปๆ ยังทำไม่ได้เลย ฉะนั้น เราถึงตั้งใจ อันนี้เป็นเหตุของเราไม่ได้ เราตั้งใจอันนี้เป็นฐานของเราไม่ได้ เพราะว่าเราไม่มีหลักยึด เราไม่เข้าใจตรงนี้เราก็ยึดหลักอันนี้ไม่ได้

ธรรมชี้แล้ว ถึงว่า เราถึงไม่เห็นตามความเป็นจริง เราไม่เห็นตามความเป็นธรรม เห็นไหม เราไม่เห็นตามธรรม ธรรมสอนชี้ ธรรมสอนชี้ให้ไปอย่างหนึ่ง นี่ชี้ให้เราเดินตามนั้นไป ถ้าเห็นรู้แจ้ง รู้จริง นั่นเป็นสมบัติส่วนตน ไม่ใช่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้บอกไว้เป็นธรรม เป็นศาสนธรรมคือคำสั่งสอน นี่คือธรรมที่ว่าเราจำมา นี่คือสัญญา นี่คือการจำได้ นี่คือสุตมยปัญญาจำมา แล้วรู้แจ้งนั่นเป็นธรรมส่วนตน เห็นไหม

กู้ยืมมาก่อน กู้ยืมคือความพยายามจดจำมา ศึกษามา อันนั้นกู้ยืมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้ามา แล้วประพฤติปฏิบัติดัดตนไง นี่ทรมานตนดัดตน ความสงบจะเกิดขึ้นได้มันต้องมีตรงนี้ก่อนไง มันมีของมันโดยธรรมชาติที่ว่ามันหมุนไป เพราะเราไม่เห็นคุณค่าของมัน เราไม่เข้าใจมัน พอเราไม่เข้าใจมัน ความสงบอันนี้มันถึงน้อยลงๆ เห็นไหม ความสงบมันน้อยลง มันเป็นเอง

ความสงบน้อยลงหมายถึงว่า เวลามันสบายใจ ความสุขนั้นขึ้นมา “เอ๊! ทำไมเราทุกข์ ความทุกข์นี้มันผ่อนคลายไปได้” นี่ความสงบมันเกิดขึ้น แล้วเราจะต่อตรงนี้เข้าไป เห็นไหม นี่ความสงบมันจะมากขึ้นๆ ความสงบของใจมากขึ้นๆ นี้คือความสงบ

ความสงบเป็นสัมมาสมาธิ แต่ นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ อันนั้นมันเป็นความสงบแท้ สงบจริงไง สงบที่เกิดจากการต่อสู้กิเลสกับตัวเอง เห็นไหม ความสงบอันนี้มันจะให้เราได้วิปัสสนา ให้เราได้แก้ไขตนดัดตน ถ้าเห็นความสงบอันนี้เข้าไป อาจารย์บอกว่า พออยู่พอกินไง จิตที่มันมีสัมมาสมาธินี้พออยู่พอกิน คือว่ามันได้ความชุ่มเย็นของใจ มันมีความชุ่มเย็นของใจมาพอสมควร นี่พออยู่พอกิน ทำให้กิเลสตัณหา พื้นที่ของใจ พื้นที่ที่ใจจะให้มันมีที่งาน พอมีที่จะทำงานขึ้นมาได้

ไม่อย่างนั้นความสงบอันนี้มันก็ไฟไหม้ป่า ไหม้ไปเรื่อยๆ ไหม้ไปแล้วก็แล้วไป แล้วมันก็ขึ้นมาใหม่ ไหม้ไปแล้ว ป่าเดี๋ยวก็ฟื้นใหม่ๆ ไฟไหม้ป่า ความสงบของไฟไหม้ป่า ไหม้ป่าไปมันก็เวิ้งว้างนะ ไฟไหม้ป่าไปนี่ราบไปหมดเลย เห็นไหม แต่ต้นไม้มันก็ต้องขึ้นมาอีก

ทีนี้ต้นไม้ขึ้นมามันช้านี่ แต่อารมณ์ของใจมันเร็ว อารมณ์มันหายไป คิดปั๊บมาทันที คิดปั๊บนึกปั๊บมันจะมาทันที นี่มันเกิดขึ้นดับขึ้น มันเหมือนกับโอปปาติกะไง เกิดดับเดี๋ยวนั้นๆ เลย มันไวขนาดนั้น แต่นี้มันยังไวกว่าโอปปาติกะอีกนะ โอปปาติกะ เห็นไหม เกิดเป็นขึ้นรูปไปเหมือนกันไง ไม่ต้องมาเหมือนต้นไม้ ค่อยๆ มาเจริญงอกงาม แต่นี้กระแสของใจมันไวกว่านั้น มันก็เลยว่าคิดปั๊บเกิดปั๊บ อารมณ์มันหายไป เห็นไหม ความสืบต่อเนื่องของใจที่มันจะสงบนี่มันถึงน้อยลงๆ...น้อยลงๆ น้อยลงตรงนี้ไง นี่ศาสนธรรมชี้ตรงนี้เข้าไป

พอเรายึดหลักเข้าไป ความสงบของเราจะเกิดมากขึ้น เพราะว่าเราเชื่อธรรม เห็นไหม เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน นี่ความสงบเป็นที่พึ่งของเรา จะเป็นที่พึ่งของเราได้ ที่พึ่งของเรานะ พออยู่พอกินแล้วก็ต้องก้าวเดินต่อไป เอาความสงบแท้ สงบจริงอันนั้นไง

ทีนี้ ความสงบจริง เกิดสงคราม ทำสงครามทำลายกันน่ะ ทำลายหัวใจ ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ในหัวใจ ต้องทำลายให้หมด ทำลายเข้าไป นี้มันสงวนรักษาไม่ยอมทำลาย ถึงได้พลิกกลับมาว่า การทำลายนั้นว่าเป็นการทำลาย ถ้าเราไม่เข้าใจว่าทำลายแล้วจะหมดไปไง แต่การทำลายนี้เหมือนก่อสร้างบ้านเรือนขึ้นมา มันก่อขึ้นมาเป็นอริยบุคคลขึ้นมา สูงขึ้นมาเป็นชั้นๆ เห็นไหม นี่ธรรมแท้เกิดที่ใจ อันนี้ถึงว่าเป็นสมบัติของเราไง ไม่ใช่สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เป็นสมบัติแท้ขึ้นมา

พระสารีบุตร ทีแรกเชื่อฟังมาก่อน สุดท้ายแล้วไม่ใช่เชื่อ เห็นไหม ไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ทีแรกเชื่อมาๆ ตลอด จนไปพูดกับพระ พระไปฟ้องพระพุทธเจ้าไง พระพุทธเจ้าถึงได้เรียกพระสารีบุตรแล้วถามต่อหน้าพระไงว่า “ไม่เชื่อเราจริงหรือ”

“ไม่เชื่อ” แต่ท่านก็พูดเป็น ๒ คำว่า แต่ก่อนนั้นเชื่อมาก ความเชื่อ เห็นไหม นี่ฟังธรรม ฟังธรรมไปเรื่อยๆ มีความเชื่อมาก แต่เดี๋ยวนี้มันรู้แจ้งขึ้นมา มันรู้ขึ้นมาจากความเป็นจริงของพระสารีบุตร นี่สมบัติของพระสารีบุตร เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ดวงใจดวงนั้น สอุปาทิเสสนิพพานตอนที่มีชีวิตอยู่ อนุปาทิเสสนิพพานที่ดับขันธ์นิพพานไป นั้นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจนั้นเป็นพระอรหันต์ หัวใจนั้นเป็นไปหมดเลย พระสารีบุตรนิพพานไป พระสารีบุตรก็เอาธรรมของพระสารีบุตรไป เห็นไหม

มันเป็นอยู่ที่ใจ ถ้าดี ถ้ามันดีจริง มันสงบจริง มันไม่ใช่เหมือนกับไฟไหม้ป่า เห็นไหม ไฟไหม้ป่ามันสงบได้ชั่วคราว พอชั่วคราวขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นมามันก็เป็นต้นไม้หรือว่าเป็นเชื้อเดิมของต้นไม้รากไม้ที่มันอยู่ในเครือโผล่ขึ้นมา อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำความสงบแล้วเรามีความสุขพออย่างนั้น เดี๋ยวมันก็ขึ้นมากวนใจเราอีก นี่ถึงว่า ความสงบอันไหนที่ว่ามันทำให้มันแน่นอนได้ เราก็ต้องพยายามอันนั้น

แล้วมันก็ยังเกิดตาย เห็นไหม คนเรานี่เกิดตายๆ ไปตลอด นี่เกิดตายไปพร้อมกับจิตดวงนี้ ถ้าจิตดวงนี้ซับสมอันนี้ไง ซับสมสมบัติของธรรม ธรรมแนบไปกับใจ ใจเท่านั้นเป็นภาชนะใส่ธรรม สมบัติของธรรม สมบัติของใจมันเป็นไปเกิดดับไปพร้อมกับใจ สมบัติส่วนของโลกเรา สมบัติส่วนที่เราหามานี่ ความกระทบกระทั่ง ความเบียดเบียนภายนอก เพราะมันมีกายแล้วมันถึงกระทบกระทั่งกัน เห็นไหม เพราะมันมีกาย กายนี้ต้องการความบำบัดรักษา บำรุงรักษา เราก็ต้องหามาๆ การหามานั้นก็ไปการเบียดเบียนกระทบกระทั่งกันภายนอกไปอีกแล้ว

นี่เราถึงว่า ถ้าเข้าใจสมบัติของใจกับสมบัติของกาย เห็นไหม สมบัติของกาย หามาได้อยู่ชาตินี้ก็ใช้อยู่ชาตินี้แล้วทิ้งไว้ที่นี่ จำเป็นใช้เฉพาะที่ว่าเราใช้ไปแล้วอันนั้นเป็นบุญกุศลหรือว่าเป็นบาปอกุศลที่เราทำขึ้นมา มันต้องไปกับใจดวงนั้น ใจนี่มันเจริญมามันเสื่อมไป มันมีขาวมีดำตลอด ถึงมันมีลุ่มๆ ดอนๆ ไง มันจะไม่มีขาวไปตลอด และไม่มีดำไปตลอด เพราะกิเลสมันเป็นธรรมชาติเป็นอย่างนี้อยู่แล้วในหัวใจ

นี้เรามีหลักเกณฑ์เพราะเราเชื่อธรรม เราฟังธรรม ความสงบยิ่งแนบแน่นเท่าไร ความทำผิดพลาดจะน้อยลงๆๆ เพราะมันเชื่อเข้าไปเรื่อยๆ ความเชื่ออันนั้นมันเห็นคุณเห็นโทษเองนะ ความเชื่อ ความเห็น เห็นคุณและเห็นโทษของมันไง ก็ต้องอาศัยสมบัติอันนี้ให้ฝังไปที่ใจ เวลามันเกิดตายแล้ว เกิดไป เวลามันตายไปไปเกิดใหม่มันจะได้ไม่ต้องทุกข์ยากมากเท่านี้ไง ทุกข์ยากมากเท่าสิ่งที่มันเคยประสบอยู่อย่างนี้ อันนี้เป็นสมบัติภายนอก

แล้วสมบัติภายใน ดูสิว่า พระดีๆ สมบัติภายใน พระดีนี่ พระดีมันดีจากภายในหัวใจ ถ้าดีนะ อย่างอาจารย์บอกว่า พระดีแท้ขึ้นมา จะไม่กล้าไปกล่าวติเตียนความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้าทั้งหมด เห็นไหม ความนิ่งอยู่ไง ความนิ่งอยู่คือใจสมบูรณ์แล้ว นิ่งสงบอยู่ ความสงบสุขอันนั้นเต็มที่แล้ว ไม่แสดงออกมาจากภายนอก ภายนอกแสดงออกมาแล้วมันเหมือนโลกไง มันมองกันไม่ออก มันมองกันไม่ออกว่าออกมาแล้วนี่กิริยามันจะเป็นอย่างไร ความเห็นกิริยาอันนั้นก็ตีค่าเหมือนกัน คนกิริยาเคลื่อนไหวเหมือนกัน สันดานมันเหมือนกัน เห็นไหม แต่ใจไม่เหมือนกัน

พอใจไม่เหมือนกัน มันถึงว่าอยู่ภายใน ความผิดจากภายในนั้นจะไม่มี ไม่มีเจตนาเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

เจตนาเวลาคิด ความดำริ ความเจตนาอันนั้น เห็นไหม นี่กิเลสมันเกิดมาพร้อมกัน ถ้าไม่มีเจตนาเลย ไม่มีการทำผิดพลาดเลย แต่อันที่เป็นไปที่ทำอยู่นี้มันเป็นสัญชาตญาณเท่านั้น ความเป็นสัญชาตญาณออกไป มันก็เลยว่า สัญชาตญาณมันอาจจะไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจของทุกคนบ้าง เห็นไหม มันจะผิด มันจะว่าไม่เหมือนกันตรงนั้นไง

แต่เจตนาความดำริที่มารจะเกิดขึ้นมานี้ อันนี้มันไม่มี มันไม่มี ถึงว่า ความสงบจากว่าไม่มีความผิดพลาดเลย ถึงพ้นออกไปจากการออกสมมุติทั้งหมด ในวินัยนี้พ้นออกจากสมมุติทั้งหมด เห็นไหม ถึงว่าเป็นปาปมุตไง ไม่เป็นผิด ไม่เป็นโทษเลย ไม่มีโทษในใจดวงนั้นเลย เพราะใจดวงนั้นเป็นโทษไม่ได้ แต่ในกิริยาของกายปรับโทษได้

ดูอย่างพระจักขุบาลเป็นพระอรหันต์แล้ว พระจักขุบาลตาบอดขึ้นมา แล้วพอกลับมา เอาหลานรับกลับมาแล้ว กลับมาถึงเอากุฏิอยู่ ทำทางจงกรมเดินอยู่ แล้วทำราวไว้เพราะตาบอด นี่วิหารธรรมของพระอรหันต์ เห็นไหม พระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสแล้วยังพยายามทำความเพียรอยู่เพื่อเป็นวิหารธรรม เดินจงกรมอยู่ เหยียบสัตว์ตาย พอเหยียบสัตว์ตาย พระเขาเห็นว่าเวลาตาดีอยู่นี่ไม่เห็นทำความเพียร ตาบอดแล้วมาทำความเพียรอยู่นี่มาเหยียบสัตว์ตาย

ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไงว่าจะปรับอาบัติ เป็นอาบัติ เพราะเหยียบสัตว์ตายนี่เป็นปาจิตตีย์ ทำสัตว์ตายไปนี่ ตามวินัย ตามกฎหมายแน่นอนเลย ภิกษุทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์ นี่ตาเนื้อมันจับกันแค่นี้ ก็เลยไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เรียกพระมา แล้วพระจักขุบาลมาด้วย บอกว่า ไม่ใช่ พระจักขุบาลนี้เป็นพระอรหันต์ พระที่ไปกล่าวโทษพระจักขุบาลนี้ผิดอีกต่างหาก เพราะพระอรหันต์นี้พ้นจากสมมุติ พ้นจากความผิดทั้งหมด พ้นจากกฎหมายไง กฎหมายควบคุมใจของพระจักขุบาลไม่ได้ แต่ร่างกายนั้นน่ะ เท่านั่นเหยียบสัตว์ตาย เห็นชัดๆ อยู่อย่างนั้น พระเขามองกันแค่นี้ไง มองแค่นี้แล้วไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ปาปมุตมันมีผลอย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่ว่าปาปมุตแล้วจิตดวงนั้นจะไม่ทำความผิดอีกเลย จิตดวงนั้นไม่ทำแน่นอน แต่ร่างกายนี่มันเคลื่อนไหวไปโดยที่ตาบอด ตามองไม่เห็น ตานี้สื่อไม่ได้ การเหยียบไปนี่มันเป็นสัญชาตญาณเท่านั้น มันเป็นไปตามกรรม หรือจะเป็นกรรมของสัตว์นั้นก็ได้ ต้องมาชดใช้กรรมที่ว่าเคยทำไว้กับพระจักขุบาล ต้องมาให้เหยียบตายตรงนั้น

นี่ปาปมุตเป็นอย่างนี้ ปาปมุตไม่ใช่ว่าไม่ทำความผิดเลย ไม่เห็นมีความผิดเลย เราไม่มีความผิดเลย จะเป็นความผิดไม่ได้ อย่างนั้นพระอรหันต์เกิดขึ้นมาในโลกนี้แทบไม่ได้เลยนะ จะมีบ้างที่ว่าเรียบร้อยสงบเสงี่ยมจนไม่มีความผิดเลย เห็นด้วย มี แต่ว่าสัญชาตญาณอันนี้มันยังมีอยู่บ้าง นี่ความสุขแท้เกิดจากตรงนั้นไง ความสุขแท้ ความสงบสันติอยู่ในหัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้นไม่เป็นโทษไม่เป็นภัยกับใครทั้งสิ้น เรามีครูบาอาจารย์เป็นผู้ชี้นำอันนี้ไง

ถึงว่า ความสุขไหนเราเข้าใจถึงธรรมได้ เราพยายามค้นคว้าหรือพยายามไขว่คว้ามาได้ขนาดไหนก็เป็นของเรา

นี่ฟังธรรมขึ้นมาแล้วก็ยืนยันกับใจไง ฟังธรรมอันนี้ ธรรมที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานไว้ ศาสนธรรม เห็นไหม ฟังธรรม ธรรมอันนี้เข้าไปกดกิเลสอันนี้ไว้ไง กดความเห็นผิด กดความไม่เชื่อ กดความที่ว่าเราจะเอาตามใจเรา นี่ธรรมเข้าไปกดตัวนี้ไว้ เห็นไหม ยุบยอบลงๆ ความสงบเกิดขึ้นจากตรงนั้นๆ นี่ฟังธรรมมีประโยชน์ตรงนั้น สุดท้ายแล้วเราก็มีความผ่องใสในใจ ความเชื่อมั่นของใจเราไง

ฟังธรรมแล้ว สุดท้ายของธรรมคือใจผ่องแผ้ว เข้าใจตามธรรมนั้น เห็นไหม ระบบความคิดก็เรียบร้อยขึ้นมานี่ ความสงบเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องใจนั้นสงบจริงของมัน แล้วมันจะไม่เป็นภัยขึ้นมากับใครอีกเลย เอวัง